กาหยู ... กับการล่าอาณานิคม

ปีนี้อากาศเย็นนานติดต่อกันหลายวันตั้งแต่ต้นปี ช่วงนี้ผลไม้ในสวนดูจะแข่งกันออกดอกดี ทั้งมะม่วง และมะม่วงหิมะพานต์

มะม่วงหิมะพานต์นี่เวลาที่ติดลูกก็ดูแปลกดี เพราะว่าเมล็ดของมัน (ส่วนที่เอามาทำเป็นเม็ดมะม่วงหิมะพานต์) จะออกมาก่อน แล้วส่วนที่เป็นผลของมันจะค่อยๆ โตตามมาที่หลัง

มะม่วงหิมะพานต์ที่สวนนี่ปลูกเอาไว้หลายต้น เป็นเหมือนไม้ประดับ เพราะชอบฟอร์มของต้น ที่สวยดี ลำต้นคดไปมา เหมือนกับไม้ตัดของญี่ปุ่นที่ใช้เวลาหลายสิบปีในการตัด แต่ว่ามะม่วงหิมพานต์มันดัดเองโดยธรรมชาติ และเป็นต้นไม้ที่สูงใหญ่ได้หลายสิบเมตร ในขณะที่ใบก็ไม่เยอะ เวลาติดผลสีแดง ก็มองดูสวยดี แต่ว่าเมื่อปีที่แล้วฝนตกเยอะทำให้ดินอ่อน ประกอบกับลมแรงจัดช่วงปลายมรสุม ทำให้มะม่วงหิมะพานต์ที่ปลูกเอาไว้ล้มไปหลายต้น

มะม่วงหิมะพานต์ที่สวนนี่เป็นพันธุ์ที่มีผิวสีแดง ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียกพันธุ์อะไร แต่มะม่วงหิมะพานต์ต้นแรกที่เคยเห็น อยู่ที่บ้านของลุงที่ท่าชนะเป็นพันธุ์ที่มีผิวสีเหลือง แกปลูกเอาไว้ตรงประตุทางเข้าหน้าบ้าน แต่ว่าต้นมะม่วงหิมะพานต์ต้นนี้ ปัจจุบันถูกโค่นไปแล้ว

ทางใต้เรียกมะม่วงหิมะพานต์ว่า “กาหยู” ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการทับศัพท์มาจากภาษาโปตุเกส “Caju” เช่นเดียวกับในภาษาอังกฤษ คำว่า “Cashew” ก็เป็นการทับศัพท์จากภาษาโปตุเกสโดยการถอดเสียง ทำให้นึกถึงอิทธิพลของโปตุเกสในสมัยก่อน

กาหยู มีต้นกำเนิดจากบราซิลทางตอนเหนือ โดยเปโดร คาบรัล (Pedro Álvares Cabral) ชาวโปตุเกส เป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางไปถึงบราซิลในปี 1500 ซึ่งเป็นการบุกเบิกการล่าอาณานิคมของจักรวรรดิโปตุเกส ซึ่งกาหยุก็คงจะถูกนำไปเผยแพร่ทั่วโลกหลังจากนี้

ในปี 1505 โปตุเกส เริ่มสร้างอาณานิคมขึ้นในอินเดีย โดยยึดโคชิน (Cochin) จากอินเดียเอาไว้เป็นศูนย์กลางการค้า

ในปี 1510 โปตุเกส​ยึดเมืองเกา (Goa) มาจากอินเดีย และเกากลายเป็นเมืองหลวงของโปตุเกสในอินเดีย

ที่เมืองเกานี่เอง ปัจจุบันยังคงมีการสืบทอดวัฒนธรรมการทำเหล้าจากมะม่วงหิมะพานต์ ที่เรียกว่า Feni (Fenny, Fenno) อยู่จนปัจจุบัน โดยการนำน้ำจากผลของมะม่วงหิมะพานต์มาบ่ม ก่อนจะนำไปกลั่นอออกมาเป็นสุรา ที่มีแอลกอฮอร์ราว 40 เปอร์เซ็นต์

คำว่า Feni ยังมีความน่าสนใจ ตรงที่มันเป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต फेन (phena) ที่แปลว่า ฟอง ตามลักษณะของน้ำของมะม่วงหิมะพานต์ที่เมื่อเขย่าแล้วจะเกิดฟองขึ้นในแก้ว


ทำไมเมล็ดมะม่วงหิมะพานต์ถึงอยู่นอกผล ? มีตำนานเล่าเอาไว้ว่า เมื่อนานมาแล้ว ในป่าแห่งหนึ่ง มีการจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นมา บรรดาสรรพสัตว์น้อยใหญ่ก็มารวมตัวกัน

ซึ่งใกล้ๆ กับบริเวณที่จัดงานนั้น มีต้นมะม่วงหิมะพานต์ขึ้นอยู่ และเมล็ดของมะม่วงหิมะพานต์ตอนนั้นก็ยังอยู่ในส่วนที่เป็นผล เมล็ดมะม่วงฯ ได้ยินเสียงที่ดังอึกทึกจากภายนอก ก็สงสัยว่าเสียงเหล่านั้นมาจากไหน ? เกิดอะไรขึ้น ! แต่เพราะว่ามันอยู่ภายในผลมันจึงมองไม่เห็น เมล็ดมะม่วงฯ จึงได้อธิษฐานขอให้ได้ออกไปอยู่ภายนอกผลเพื่อที่จะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

ในเวลานั้นก็มีนางฟ้าที่ผ่านเข้ามาในป่า เมื่อนางฟ้าได้ยินเสียงจากงานรื่นเริง ก็ได้เข้าไปร่วมสนุกสนานด้วย ระหว่างอยู่ในงานนั้นเอง นางฟ้าก็ได้ยินเสียงอธิษฐานของเมล็ดมะม่วงฯ

เมล็ดมะม่วงฯ จึงขอให้นางฟ้าช่วยนำมันออกจากภายในผลที่มืดมิด เพื่อจะได้เห็นโลกภายนอก

นางฟ้าทำตามคำของของเมล็ดมะม่วงฯ

แต่ว่าเมื่อเมล็ดมะม่วงฯ ออกมาอยู่ภายนอกแล้ว งานรื่นเริงเฉลิมฉลองก็ยุติลงพอดี บรรดานกกา สรรพสัตว์ที่ส่งเสียงอย่างมีความสุขก็แยกย้ายกันกับไปพักผ่อน

ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็กลายเป็นมืดมิด เพราะเมฆฝนที่ลอยมาปกคลุม ตามมาด้วยฟ้าร้องและฟ้าผ่า สายฝนที่ตกลงมาห่าใหญ่ ทำให้เมล็ดมะม่วงฯ หนาวสั่น และสะพรึ่งกลัว

เมล็ดมะม่วงฯ จึงได้ร้องขอต่อนางฟ้าอีกครั้งหนึ่งให้ช่วยพามันกลับเข้าไปอยู่ภายในผล เพราะโลกภายนอกช่างน่าสะพรึง แต่ว่านางฟ้าได้อันตรธานหายตัวไป โดยไม่ได้ตอบสนองต่อคำของของเมล็ดมะม่วงฯ

ต่อมาเมื่อท้องฟ้ากลับมาแจ่มใสอีกครั้ง นางฟ้าก็ปรากฏตัวขึ้น และเห็นว่าเมล็ดมะม่วงฯ มีรูปร่างงอและไม่สามารถพูดได้อีกแล้ว

นางฟ้าจึงบอกกับเมล็ดมะม่วงฯ ว่า “นี่เป็นบทเรียนของเจ้า ให้จงพึงพอใจกับสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้มาตั้งแต่ต้น” ...🍃