กระต่าย... สเปน พระจันทร์

อาทิตย์ที่ผ่านมานี่ต้องพากระต่ายที่เลี้ยงเอาไว้ไปหาหมอทุกวัน เพราะ “เย่” ไม่ค่อยสบาย เหมือนจะเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ หายใจไม่ค่อยออก เย่มีอายุ 4 ปีแล้ว เป็นกระต่ายตัวแรกที่ซื้อมาเลี้ยง ตั้งแต่เข้าปีใหม่ของปี 62 ถ้านับอายุก็ยังถือเป็นกระต่ายวัยกลางคนเพราะกระต่ายอยู่ได้ถึง 7-10 ปี

ตอนปี 62 ไปเดินงานขายสินค้าชายทะเลที่อ่าวประจวบฯ นี่แหละ แล้วก็ได้ลูกกระต่ายมาคู่หนึ่ง ผู้หญิงกับผู้ชาย แล้วกระต่ายทั้งคู่ก็กลายเป็นพ่อแม่ของกระต่ายหลายสิบตัว พวกเขาผลิตลูกเก่งมาก จนไม่สามารถที่จะเลี้ยงกระต่ายไว้ที่บ้านได้ ก็เลยย้ายกระต่ายรุ่นลูกมาเลี้ยงที่สวน มีบางส่วนเอาให้คนอื่นไปเลี้ยงต่อ แต่ว่าส่วนใหญ่จะถูกเลี้ยงเอาไว้ในกรงที่สวน ซึ่งกลายเป็นเรื่องเศร้าที่ลูกกระต่ายต้องจบชีวิตกันไปแบบโศกนาฏกรรมจากหลายสาเหตุ ทั้งจากการที่มันขุดโพรงหนีออกมาจากกรง แล้วก็ถูกสุนัขกัดตาย หรือต้นปี 65 นี่ กรงกระต่ายเจอผู้บุกรุกเป็นงูเหลือม เหลือมมีขนาดไม่ได้ใหญ่นัก แต่ว่ามันเข้าไปกินกระต่ายไม่พอ ยังกัดกระต่ายจนตายเกือบทั้งหมด มีบางส่วนที่หนีเข้าป่าไปแล้วก็หายไปเลยไม่รู้ข่าวอีกเลย

แต่ว่าเหลือกระต่ายรอดอยู่ตัวเดียวจากเหตุการณ์ที่ถูกงูเหลือมบุกเข้ามาในกรง ก็เลยพากลับเลี้ยงเอาไว้ที่บ้าน ไม่กล้าจะเลี้ยงกระต่ายไว้ในสวนอีกเลย

แต่ว่าไม่กี่วันมานี่กระต่ายตัวที่พามาจากสวนนั้นเสียชีวิตไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ที่บ้านเหลือกระต่ายอยู่ตัวเดียวก็คือเย่

เชื่อกันว่ากระต่ายมีอยู่ในยุโรปมาตั้งแต่ 4,000 ก่อน บริเวณคาบสมุทรไอบีเรีย (Iberian Peninsula) เมื่อราว 600 BC ชาวกรีกเรียกดินแดนแถบนี้ว่า เฮสเปเรีย (Hesperia) แปลว่าดินแดนที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า (Land of Setting Sun) แต่เมื่อพ่อค้าชาวโพนิเชียน (Phoenician) และคาเทจ (Carthage) เข้ามาทำการค้า พวกเขาก็เปลี่ยนไปเรียก ว่า ฮีสปาเนีย (Hispania) ซึ่งกลายเป็นชื่อ สเปน (Spain) ซึ่งความหมายของ “ฮีสปาเนีย” แปลว่า “ดินแดนแห่งกระต่าย (land of the Rabbits)" เพราะพ่อค้าโพนิเซียนเห็นว่ามีกระต่ายอยู่เต็มไปหมด

ชาวโรมันเริ่มเข้ามาในสเปน เมื่อ 200 ปีก่อนคริสต์กาล และเริ่มจับกระต่ายมาเป็นอาหาร ต่อมาเมื่ออาณาจักรโรมันขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับการค้าที่เจริญรุ่งเรื่อง ก็ทำให้กระต่ายถูกแพร่กระจายไปตามเส้นทางการค้าด้วย

เล่ากันว่ามนุษย์เริ่มเอากระต่ายเข้ามาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเมื่อ ศตวรรษที่ 5 มีพระสันตะปะปา กริกอรี่ (Pope Gregory I, 540-604) ได้ออกประกาศว่าเนื้อกระต่ายถือเป็นเนื้อจำพวกเดียวกับปลา ซึ่งประกาศนี้ทำให้นักบวชสามารถกินเนื้อกระต่ายได้ในช่วงที่ถือศีลก่อนที่จะถึงวันอีสเตอร์

แต่ว่าเรื่องที่พระสันตะปาอนุญาตให้กินกระต่ายนี้เป็นเพียงเรื่องเล่ากันมา ไม่มีหลักฐาน แต่อาจจะเพราะเกิดจากความเข้าใจผิด และสับสนกับชื่อของ กริกอรี แห่งตูร์ (Gregory of Tours) ผู้แต่งหนังสือ History Francorum (History of Franks) ที่เล่าถึง ร๊อคโคเลน, เคาต์แห่งเลอ แมงส์ (Roccolen, Count of Le Mans) ซึ่งนำกองทัพบุกเมืองตูร์ แต่ว่าระหว่างทาง ร๊อคโคเลนเกิดล้มป่วย จึงได้หยุดพักที่เมืองปอยเทียร์ (Poitiers) ซึ่งตรงกับช่วงที่กำลังมีการถือศีล ร๊อคโคเลนซึ่งถือศีลด้วยเพราะเติบโตขึ้นมาในโบสถ์ เขาจึงกินเนื้อลูกกระต่ายเป็นอาหารตลอดช่วงเวลาที่ถือศีล จนกระทั้งเข้าวันแรกของเดือนมีนาคม เขาก็กลับมาแข็งแรงและตั้งใจที่จะทำลายเมืองปอร์เทียร์ให้ราบ แต่ว่าเขาก็เสียชีวิตภาย 24 ชั่วโมง ก่อนจะเริ่มบุกปอร์เทีย


ชาวจีนมีตำนานเล่าว่ามีกระต่ายหยกขาว (玉兔, Yutu, Jade Rabbit) อยู่บนดวงจันทร์ โดยกระต่ายนี้เป็นเพื่อนกับฉางเอ๋อ (Chang’e) โดยกระต่ายตัวนี้กำลังผสมน้ำอมฤต (elixir of life)

บนสวรรค์นั้นถูกปกครองด้วยจักรพรรดิหยก (Jade Emperor, 玉皇) หรือที่คนไทยเรียกว่า เง็กเซียนฮ่องเต้ จักรพรรดิหยกนั้นได้สั่งให้อู๋กาง (吴刚, Wu gang) ปรุงน้ำอมฤตขึ้นมา แต่ว่าอู๋กาง ปรุงน้ำอมฤตไม่สำเร็จ เพราะยังขาดต้นกุ้ยฮัว (桂花, Osmanthus fragrans, ต้นหอมหมื่นลี้) มาใช้เป็นส่วนผสม เขาจึงได้เดินทางไปยังดวงจันทร์ และพยายามตัดกุ้ยฮัว แต่ว่าแม้ว่าจะพยายามอยู่หลายครั้งอู๋กางก็ไม่สามารถที่จะตัดต้นกุ้ยฮัวได้

จักรพรรดิหยกเห็นว่าอู๋กางคงไม่สามารถทำงานนี้ได้สำเร็จแน่แล้ว จึงได้มองหาคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในการทำน้ำอมฤตแทน โดยในตอนแรกพระองค์นึกถึงมนุษย์แต่เพราะทรงรู้ว่ามนุษย์มีนิสัยที่ฉ้อฉลจึงเปลี่ยนพระทัยที่จะหาสัตว์มารับหน้าที่นี้แทน

จักรพรรดิหยกได้แปลงกายเป็นชายแก่ เดินทางเข้าไปในป่า โดยทำทีว่าป่วยหนัก และอดอาหารมาหลายวัน ชายแก่ได้ขอความช่วยเหลือจาก ลิง, หมาป่า, และกระต่าย เพื่อให้ช่วยหาอาหารมาให้เขาทาน

เจ้าลิงก็ไปเก็บผลไม้มาให้ชายแก่ หมาป่าก็ไปจับปลาและแบ่งนมให้กับชายแก่ แต่ว่าเจ้ากระต่ายคิดในใจว่าตนเองคงหาได้แต่หญ้ามาเท่านั้น และชายแก่ก็คงไม่สามารถที่จะกินหญ้าได้ เจ้ากระต่ายจึงได้ตัดสินใจกระโดนเข้ากองไฟเพื่อใช้ตัวเองเป็นอาหารให้กับชายแก่

ชายแก่เห็นดังนั้นก็แปลงกายกลับเป็นจักรพรรดิหยก และตอบแทนเจ้ากระต่ายโดยการนำกระต่ายไปอยู่บนดวงจันทร์และเสกให้มันกลายกระต่ายหยก (Jade Rabbit) และเป็นอมตะ คอยทำหน้าที่ปรุงน้ำอมฤต


ส่วนฉางเอ๋อ (嫦娥, Chang’e) เทพธิดาแห่งดวงจันทร์นั้น เดิมที่นางก็เป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ว่าในอดีตนั้นเล่ากันว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ปีหนึ่งบนท้องฟ้าปรากฏว่ามีดวงอาทิตย์ถึง 10 ดวง ขึ้นพร้อมกัน ทำให้แผ่นดินแห้งแล้งอย่างหนัก แต่มามีชายคนหนึ่งชื่อว่า เฮ้ายี่ (后羿, Hou Yi) ปรากฏตัวขึ้นมา เฮ้ายี่ได้ขึ้นไปยังยอดเขาคุนหลุน (Kunlun Mount) แล้วใช้ธนูยิงดวงอาทิตย์จนดับไป 9 ดวง เหลือไว้เพียงดวงเดียว

เฮ้ายี้จึงกลายมาเป็นที่รักของประชาชน และต่อมาเขาก็ได้แต่งงานกับฉางเอ๋อ ... และเปิดสำนักสอนวิทยายุทธ์

มีลูกศิษย์ของเฮ้ายี่คนหนึ่งชื่อว่าฟงเหมิง (逢蒙, Peng Meng) ที่เป็นคนฉลาดแต่ว่าไร้คุณธรรม

มีอยู่วันหนึ่งเฮ้ายี่เดินทางเข้าไปในป่าในเขาคุนหลุน และได้พบกับนางฟ้าจากสวรรค์ซึ่งเป็นคนมอบน้ำอมฤตให้กับเขา ซึ่งเล่ากันว่าน้ำอมฤตเพียงแค่ดี่มไปครึ่งจอกก็จะทำให้มนุษย์มีชีวิตเป็นอมตะ แต่ว่าถ้าดื่มหมดจอกก็จะกลายเป็นเทพ

แต่ว่าเฮ้ายี่ไม่ได้ดื่มน้ำอมฤต เพราะไม่อยากจะจากภรรยาอันเป็นที่รัก เขาจึงได้มอบน้ำอมฤตให้กับฉางเอ๋อคอยเก็บรักษาเอาไว้

แต่ว่าฟงเหมิงแอบเห็นน้ำอมฤตที่ฉางเอ๋อซ่อนเอาไว้ในห้องของนาง

สามวันต่อมาเมื่อเฮ้ายี่ได้ออกไปล่าสัตว์ ฟงเหมิงได้อาศัยจังหวะนี้ถือดาบเข้าไปขู่ให้ฉางเอ๋อมอบน้ำอมฤตให้กับเขา ฉางเอ๋อซึ่งรู้ตัวว่าไม่สามารถสู้กับฟงเหมิงได้ แต่นางได้อาศัยจังหวะที่ฟงเหมิงเผลอ หยิบเอาน้ำอมฤตขึ้นมาดื่มเข้าไปเสียเอง และในทันใดนั้นหลังจากฉางเอ๋อดื่มน้ำอมฤตเข้าไป นางก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า และกลายเป็นเทพธิดาอยู่บนดวงจันทร์ ที่นางยังคงไม่ไปไหนไกลเพราะยังคงห่วงสามีของนาง

เมื่อเฮ้ายี่กลับมายังสำนักก็ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาจึงได้พยายามจะล่าสังหารฟงเหมิง แต่ว่าฟงเหมิงก็หนีเอาตัวรอดไปได้

เฮ้ายี่ซึ่งเสียใจที่ภรรยาจากไป ก็เอาแต่ร้องห่อร้องไห้และเหม่อมองไปบนท้องฟ้า แต่ว่าจู่ๆ ดวงจันทร์บนท้องฟ้าก็เปล่งแสงสว่างไสวขึ้นมา เฮ้ายี่จึงรู้ทันทีว่านั่นคือฉางเอ๋อ

ต่อมาเฮ้ายี่จึงได้ทำขนมไหว้พระจันทร์ (moon cake) ซึ่งเป็นของโปรดของฉางเอ๋อ พร้อมกับจุดธูปเซ่นไหว้นางเป็นประจำทุกปี ซึ่งประชาชนคนอื่นๆ เมื่อได้ทราบเรื่องราวนี้ก็เลยประกอบพิธีไหว้พระจันทร์เป็นประเพณีสืบมา