สตีฟกับแอนนา... เต๋าเต๋าโมนะ



ชาวซามอร์โร (Chamorro) บนเกาะกวม (Guam) ในมหาสมุทรแปซิฟิก เรียกต้นกร่าง (Banyan tree) ว่า นุนู (Nunu Tree) พวกเขามีความเชื่อว่า ต้นนุนู เป็นที่อาศัยของเต๋าเต๋าโมนะ (Taotaomo’na)

มีตำนานเล่าขานเรื่องราวของ เต๋าเต๋าโมนะ ที่แปลว่า ผู้ที่อยู่มาก่อน หรือ ดวงวิญญาณของบรรพชน ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินร่วมกับพวกเรา

เต๋าเต๋าโมนะ ถูกแบ่งออกเป็นสามประเภท ได้แก่

  1. mañainå-ta yan หมายถึง วิญญาณของบรรพบุรุษของคนในครอบครัว

2. i manmofo’nå-ta หมายถึง วิญญาณของผู้ที่อยู่มาก่อนนานแล้ว แต่ว่าไม่ใช่คนในครอบครัว

3. I mantailayi (manailayi) yan manmala หมายถึง วิญญาณของปีศาจ ที่สามารถทำให้เกิดความเจ็บป่วย หรือภัยพิบัติ


ชาวซามอร์โร กราบไหว้บูชาเต๋าเต๋าโมนะ เพื่อแสดงความขอบคุณที่เต๋าเต๋าโมนะคุ้มครองพวกเขาและคนในครอบครัวให้ปลอดภัย พวกเขายังเชื่อว่าหากเต๋าเต๋าโมนะโกรธ ก็จะทำให้พวกเขาล้มป่วยหรือเผชิญกับเคราะห์ร้ายได้



สำหรับคำว่า บันยาน (Banyan) คำนี้มาจากภาษา กุจาราติ (Gujarati language) ซึ่งเป็นภาษาของชาวอินเดียกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่มากในรัฐกุจาราช (Gujarat) ทางตอนเหนือของอินเดีย ในภาษากุจาราติ “บันยาน” มีความหมายว่า “พ่อค้า”


ชาวฮินดูเชื่อว่าใบของต้นกร่างเป็นที่นอนพักผ่อนของพระกฤษณะ โดยในคัมภีร์ภากาวัติ (Bhagavat Gita) ได้บันทึกว่า พระกฤษณะ ได้บอกว่า มีต้นกร่างที่รากของมันแทงขึ้นไปบนฟ้า และกิ่งของมันก็ชี้ลงดิน และ Vedic hymns ก็จารึกอยู่ที่บนใบ ใครที่ได้รู้จักกร่างต้นนี้ย่อมจะฉลาดกว่านักบวชทั้งหลาย


ชาวฮินดู ยังเรียกต้นกร่างว่า กัลปฤกชา (Kalpavriksha) ที่แปลว่าต้นไม้แห่งชีวิต (The Tree of Life) ที่ยังสื่อถึง องค์ตรีมูรติ (Trimurti) คือ ผู้สร้าง, ผู้พิทักษ์, และผู้ทำลาย ... พระวิษนุ (ผู้สร้าง) นั้นสถิตย์อยู่ที่ลำต้นหรือเปลือกของกร่าง พระพรหม (ผู้พิทักษ์) อาศัยอยู่ที่ราก และพระศิวะ (ผู้ทำลาย) อาศัยอยู่ที่กิ่ง

พระพุทธเจ้าเอง หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ แต่หลังจากนั้นก็ได้เสด็จมานั่งอยู่ใต้ต้นกร่าง (The Goatherd’s Banyan Tree) อีก 6 สัปดาห์ ในสัปดาห์ที่ 5 บุตรสาวของนางมาร (Mara) ชื่อว่า ตัณหา (Tanha), อคติ (Arati), ราคะ (Raga) ได้พยายามเข้ามาล่อลวงให้พระพุทธเจ้าออกนอกลู่นอกทาง แต่ไม่สำเร็จ

พระพุทธเจ้าได้พบกับพระพรหมสหัมปติ (Lord Sahampati Brahma) ที่ปรากฏตัวขึ้นมาและแนะนำให้พระพุทธเจ้าออกไปเผยแพร่สิ่งที่ตรัสรู้ให้กับคนทั่วไป


หน้าอาคารดาราศาสตร์ ของอุทยานวิทยาศาสตร์ พระจอมเกล้า ณ.หว้ากอ มีต้นกร่างต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ที่เป็นที่ศักดิ์การะบูชาของเจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานในอุทยาน เล่ากันว่าต้นกร่างต้นนี้เป็นที่อาศัยของดวงวิญญาณตายายคู่หนึ่ง ชื่อ ตาสตีฟ กับ ยายแอนนา ... เมื่อก่อนนี้ดวงวิญญาณที่อาศัยที่ต้นกร่างนี้ มีคนเห็นแต่ว่าไม่ทราบชื่อ แต่ก็มีการกราบไหว้บูชากันเรื่อยมา ต่อมามีคนบางคนที่ไม่เชื่อ มาทำการหลบลู่ แล้วเกิดอาการที่เหมือนคนถูกผีเข้าในหนัง ตัวสั่น แล้วเดินหลังค่อมเหมือนคนแก่ เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นจึงได้ถามชื่อของตากับยายไว้

ศาลพระภูมิใต้ต้นกร่างหน้าอาคารดาราศาสตร์ที่มีอยู่สองหลังนั้น ใครผ่านไปผ่านมาอาจจะสงสัยว่าตากับยายทะเลาะกันหรือป่าวหรือต้องแยกบ้านกันนอน จริงๆ แล้วในตอนแรกนั้นมีอยู่ศาลเดียว แต่หลังที่สองนั้นมีคนที่เคยมาขอให้ตากับยายช่วยให้ประสบสมหวัง ได้สร้างศาลอีกหลังมาถวาย ... เรื่องวิญญาณเหล่านี้จริงหรือไม่จริงผู้เขียนก็ไม่อาจจะบอกได้ แต่ว่ามีเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในตึกหลังนี้เล่าให้ฟังเสมอวันหวยออกว่า ตากับยายช่วยให้ถูกหวยบ่อยๆ แต่มักจะถูกในจำนวนเล็กๆ น้อยๆ ห้าบาทสิบบาท เวลาลงทุนเยอะๆ มักจะไม่สมหวัง

ส่วนตาสตีฟกับยายแอนนา จะเป็นเต๋าเต๋าโมนะ แบบที่ชาวชามอร์โร เชื่อหรือไม่ ผู้เขียนก็ไม่ทราบได้..